-
ชื่อเรื่องภาษาไทยการพัฒนาผู้ไกล่เกลี่ยสู่อาชีพโดยพุทธสันติวิธี
- ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษA Development of Professional Mediator by Buddhist Peaceful Means
- ผู้วิจัยนายณรงค์ศักดิ์ อัจฉรานุวัฒน์
- ที่ปรึกษา 1พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, ศ. ดร.
- ที่ปรึกษา 2พระมหาดวงเด่น ฐิตญาโณ, ผศ. ดร.
- วันสำเร็จการศึกษา06/02/2022
- ส่วนงานจัดการศึกษา:
- ชื่อปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (พธ.ด.)
- ระดับปริญญาปริญญาเอก
- สาขาวิชาสันติศึกษา
- URI http://e-thesis.iteam.co.th/thesis/47425
- ปรากฏในหมวดหมู่ดุษฎีนิพนธ์
- ดาวน์โหลด 0
- จำนวนผู้เข้าชม 273
บทคัดย่อภาษาไทย
ดุษฎีนิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคการไกล่เกลี่ยโดยผู้ประนีประนอม ในศาลยุติธรรม (2) เพื่อศึกษาแนวคิดผู้ไกล่เกลี่ยวิชาชีพขององค์กรเอกชน JAMS ของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย (3)เพื่อพัฒนาการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทของศาลยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพประกอบด้วยการวิจัยเอกสารและการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณด้านการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทโดยกลุ่มตัวอย่างมีความหลากหลายประกอบด้วยผู้พิพากษาในศาลยุติธรรมผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารที่มีอำนาจในการกำหนดนโยบายของศาลยุติธรรม ผู้พิพากษาที่มีอายุราชการเกินกว่า 20 ปี ข้าราชการศาลยุติธรรมผู้บริหารระดับสูง ผู้ประนีประนอม ทนายความ ผู้ประกอบอาชีพผู้มีประสบการณ์เกินกว่า 20 ปี นักวิชาการอาวุโสผู้ประกอบอาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัยเกินกว่า 20 ปี และนักธุรกิจผู้บริหารบริษัทมหาชนจำกัดที่มีประสบการณ์เกินกว่า 20 ปี
ผลการศึกษาวิจัย พบว่า
1. ผู้ประนีประนอมในศาลยุติธรรมที่ศาลแต่งตั้งให้แก่คู่พิพาทยังมีข้อจำกัดอยู่มากในการไกล่เกลี่ยคดีที่มีทุนทรัพย์พิพาทจำนวนสูงๆ ซึ่งมักเป็นคดีที่มีความสลับซับซ้อนทั้งด้านกฎหมายและเทคนิค เนื่องจากขาดการพัฒนาความรู้ในสาขาต่างๆ อีกทั้งการเป็นเพียงบุคคลภายนอกที่อาสาเสียสละเวลาเข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย มิใช่ ผู้ที่ยึดการทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยเป็นอาชีพที่ต้องมีความรับผิดชอบและความทุ่มเทในการปฏิบัติหน้าที่ จึงไม่เอื้อต่อการปฏิบัติงานและการพัฒนาศักยภาพ
2. JAMS เป็นบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ให้บริการการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทก่อตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งปีพ.ศ.2522 ให้บริการระงับข้อพิพาทประมาณ 12,000 เรื่องต่อปี (ข้อมูลปีพ.ศ.2557) โดยร้อยละ 70 เป็นข้อพิพาททางแพ่ง, พาณิชย์ และทรัพย์สินทางปัญญา
โดยองค์กรมีจุดเด่นด้านบุคลากร มีผู้ไกล่เกลี่ยที่มีผู้อาวุโสและประสบการณ์ ทั้งด้านความรู้และความชำนาญหลากหลาย ทั้งด้านกฎหมายและ ทักษะการไกล่เกลี่ย สามารถตอบสนองความต้องการของคู่พิพาท ตลอดจนมีกฎเกณฑ์และกระบวนการเป็นระบบ รวมทั้งมีหน่วยฝึกฝนและพัฒนา ผู้ไกล่เกลี่ยเรียกว่า JAMS Training & Development Department ก่อให้องค์กรเกิดวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง
3. ควรจัดให้มีผู้ไกล่เกลี่ยวิชาชีพ (Professional Mediator) ขึ้นในศาลยุติธรรม สำหรับคดีที่มีทุนทรัพย์พิพาทจำนวนสูงๆ อันเป็นการพัฒนาการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกอีกช่องทางหนึ่งให้แก่คู่พิพาท แทนการใช้บริการผู้ประนีประนอม โดยจะต้องมีหน่วยงานหรือองค์กรควบคุมวิชาชีพ เรียกว่า Association of Thai Professional Mediator- A.T.P.M. ทำหน้าที่วางกฎเกณฑ์และกระบวนการ ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทให้เป็นระบบ มีมาตรฐานวิชาชีพทั้งด้านจริยธรรมและสมรรถนะของผู้ไกล่เกลี่ยวิชาชีพ ตลอดจนอัตราค่าตอบแทนผู้ไกล่เกลี่ยที่เหมาะสม รวมทั้งติดตามประเมินผล ซึ่งองค์กรวิชาชีพ (Association of Thai Professional Mediator A.T.P.M.) ควรอยู่ในสังกัดศาลยุติธรรมลักษณะเช่นเดียวกับสำนักอนุญาโตตุลาการ เพราะศาลยุติธรรมเป็นองค์กรที่มีต้นทุนทางสังคมและภาพลักษณ์ความโปร่งใสเป็นกลางที่ประชาชนให้ความเชื่อถือและศรัทธา มีความชำนาญและดำเนินการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทมาก่อนยาวนาน ตลอดจนมีศาลจังหวัดและศาลแขวงทุกจังหวัด สามารถเป็นระบบเครือข่าย (Network) ประสานงานการให้บริการ มีความแพร่หลายที่คู่พิพาทสามารถเข้าถึงยื่นเรื่องขอใช้บริการได้สะดวก ไม่ต้องลงทุนสร้างสำนักงานให้สิ้นเปลืองงบประมาณก่อสร้างสำนักงานและจ้างบุคลากรจำนวนมาก สำหรับคุณสมบัติของผู้ไกล่เกลี่ยวิชาชีพอย่างน้อยต้องจบการศึกษาปริญญาตรี และต้องสำเร็จการศึกษาด้านนิติศาสตร์ขั้นต่ำระดับปริญญาตรี เพื่อเป็นหลักประกันแก่คู่พิพาทว่า ผู้ไกล่เกลี่ยวิชาชีพสามารถยกร่างสัญญาประนีประนอมหรือข้อตกลงที่มีความสลับซับซ้อนได้ และต้องเป็น ผู้มีประสบการณ์การไกล่เกลี่ยในศาลยุติธรรมมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี ถึง 5 ปี และเคยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประนีประนอมของสำนักงานศาลยุติธรรมมาแล้ว
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ
The objectives of this research journal are (1) to study the problems and obstacles of mediation by mediators in the court of justice (2) to study the concept of professional mediators from the private organization JAMS, California, to improve mediation as a dispute resolution system of the court of justice towards greater performance. This research is a qualitative research consisting of documentary research and interviewing experts in the field of dispute resolution via mediation, in which the diverse sample consist of judges in high court of justice, including executives charged with policymaking, those who have been in service for over 20 years, court of justice officials, high executives, mediators, senior lawyers with over 20 years of experience, academics and senior instructors, doctors, and enterprisers from private limited corporations.
The result of this study finds that:
1. Mediators in court of justice who are appointed to the disputing parties still have many limitations in mediating high-value disputes which often are complicated both in legal and technical terms, due to lack of improvement in knowledge in various fields, and due to the fact that they are merely outsourced personnel who have volunteered to serve as mediators, not professional mediators whose job demands high accountability and devotion to duty, which therefore is not conductive to the development of their potential;
2. JAMS is the world’s largest private corporation that offers a service in dispute resolution via mediation, which has been founded in the United States of America since B.E. 2522 and serves to resolve an estimate of 12,000 disputes per year (data from B.E. 2557), 70 percent of which are civil, commercial, and intellectual property related. The organization has a strength in personnel; it has mediators who possess both seniority and experience, and have diverse knowledge and expertise capable of fulfilling the needs of disputing parties. In addition, having systematic rules and procedures and having a mediator training and development unit, called JAMS Training & Development Department, creates a dynamic culture of learning within the organization;
3. Professional mediators should be provided in the court of justice, as it will improve mediation as a dispute resolution system towards greater performance, offering an alternative for the disputing parties in place of conciliators. This requires a professional regulatory body, called the Association of Thai Professional Mediator – A.T.P.M, whose duty is to enact rules and procedures in a systematic manner, in order to ensure professional standard both in ethics and competencies for professional mediators, as well as to conduct follow-up evaluations.
รายการไฟล์
ชื่อ | ไฟล์ | ขนาด | ประเภทไฟล์ | ดาวน์โหลด | วันที่ทำรายการ |
---|